หายนะเงียบ: “ภัยแล้ง” ปรากฏการณ์ที่กำลังกัดกินประเทศไทยอย่างช้า ๆ แต่รุนแรง

หายนะเงียบ: “ภัยแล้ง” ปรากฏการณ์ที่กำลังกัดกินประเทศไทยอย่างช้า ๆ แต่รุนแรง

หายนะเงียบ: “ภัยแล้ง” ปรากฏการณ์ที่กำลังกัดกินประเทศไทยอย่างช้า ๆ แต่รุนแรง

บทนำ

ในช่วงต้นปี 2568 หลายจังหวัดในประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตภัยแล้งครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และบางส่วนของภาคกลาง ที่แม่น้ำสายหลักอย่างแม่น้ำโขงและแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับน้ำลดต่ำลงจนผิดปกติ กระทบตั้งแต่การเกษตร ปศุสัตว์ อุตสาหกรรม ไปจนถึงการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค

ความเป็นมา

ภัยแล้งไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับประเทศไทย แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นทั่วโลกทำให้สถานการณ์รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ในปีนี้อุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศไทยสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยเดิมถึง 1.2 องศาเซลเซียส ขณะที่ปริมาณฝนลดลงกว่าร้อยละ 30 จากค่าปกติ

ผลกระทบต่อการเกษตร

ภาคเกษตรกรรมได้รับผลกระทบมากที่สุด ชาวนาในจังหวัดอุบลราชธานีต้องเลื่อนการทำนาออกไปไม่มีกำหนด บางรายถึงกับต้องเปลี่ยนอาชีพชั่วคราวจากชาวนาไปเป็นแรงงานรับจ้าง รายงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พบว่า มีพื้นที่เกษตรได้รับผลกระทบกว่า 5 ล้านไร่ ส่งผลให้ผลผลิตลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะข้าว ข้าวโพด และอ้อย

นายสมชาย แสงดี อายุ 56 ปี ชาวนาในจังหวัดศรีสะเกษ ให้สัมภาษณ์ว่า “ทำนามาทั้งชีวิต ไม่เคยเจอปีไหนแย่ขนาดนี้ น้ำไม่มีเลย ฝนก็ตกไม่ถึงอาทิตย์ ข้าวก็ตายหมด หนี้สินก็ยังมีอยู่…”

น้ำประปาเริ่มขาดแคลน

หลายพื้นที่ในจังหวัดลพบุรีและนครราชสีมาเริ่มมีปัญหาน้ำประปาไหลอ่อนหรือไม่ไหลในบางช่วงเวลา สถานการณ์นี้ทำให้ประชาชนเริ่มเก็บกักน้ำไว้ใช้เอง และบางครอบครัวต้องซื้อน้ำจากรถบรรทุกซึ่งมีราคาสูงถึงถังละ 100 บาท

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) รายงานว่า อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่หลายแห่งมีปริมาณน้ำใช้การได้ต่ำกว่าร้อยละ 20 โดยเขื่อนลำตะคอง เหลือน้ำใช้การได้เพียง 17% ขณะที่เขื่อนภูมิพลเหลือเพียง 24% ซึ่งน้อยกว่าปีที่ผ่านมาเกือบครึ่ง

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

ภัยแล้งได้สร้างแรงกระแทกต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างรุนแรง ทั้งในแง่การว่างงาน รายได้ครัวเรือนที่ลดลง และความสามารถในการใช้จ่าย

นักเศรษฐศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเมินว่า GDP ภาคการเกษตรในปี 2568 อาจหดตัวลงถึงร้อยละ 7 หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไป

ในภาคอุตสาหกรรม โรงงานผลิตอาหารและเครื่องดื่มที่ต้องใช้น้ำในกระบวนการผลิตเริ่มได้รับผลกระทบเช่นกัน บางโรงงานจำเป็นต้องหยุดผลิตชั่วคราว ส่งผลกระทบต่อแรงงานจำนวนมาก

ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ

นอกจากเศรษฐกิจแล้ว ภัยแล้งยังสร้างปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างหนัก การแห้งขอดของแม่น้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้ระบบนิเวศเสียสมดุล ปลาน้ำจืดหลายชนิดตายเพราะอุณหภูมิสูงและออกซิเจนต่ำ พืชป่าที่เคยเขียวขจีแห้งแล้งจนเกิดไฟป่าบ่อยครั้งในภาคเหนือ

ด้านสุขภาพ ประชาชนต้องเผชิญกับโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นเนื่องจากฝุ่นจากดินแห้งที่ลอยในอากาศ และคุณภาพน้ำที่แย่ลงก็ทำให้โรคทางเดินอาหารแพร่ระบาดในหลายพื้นที่

ความพยายามของรัฐบาล

รัฐบาลได้ประกาศมาตรการเร่งด่วน เช่น จัดสรรงบฉุกเฉิน 5,000 ล้านบาท เพื่อสร้างระบบกระจายน้ำ ส่งน้ำผ่านท่อจากอ่างเก็บน้ำไปยังพื้นที่ที่ขาดแคลน และจัดตั้งศูนย์บัญชาการภัยแล้งระดับจังหวัด แต่ก็ยังได้รับเสียงวิจารณ์ถึงความล่าช้าในการแก้ไขปัญหา

นอกจากนี้ ยังมีความพยายามผลักดันการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ผ่านโครงการ “น้ำคือชีวิต” ที่เน้นให้ชุมชนเก็บกักน้ำฝน สร้างฝายชะลอน้ำ และส่งเสริมการใช้พืชที่ใช้น้ำน้อย

ทางออกระยะยาว

นักวิชาการเสนอว่าประเทศไทยควรปรับแนวทางการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการมากขึ้น เช่น การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อติดตามการใช้น้ำแบบเรียลไทม์ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานกักเก็บน้ำ การปรับเปลี่ยนพืชเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศ และการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

บทสรุป

ภัยแล้งไม่ใช่แค่ปัญหาชั่วคราว แต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ถาวร หากไม่มีการรับมืออย่างจริงจังและยั่งยืน ประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับความเสียหายทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในระดับรุนแรงมากขึ้นในทุกปีที่ผ่านไป

หมวดหมู่ยอดนิยม