ซาร์สสายพันธุ์ใหม่ในจีน: ไทยเร่งมาตรการรับมือ หวั่นซ้ำรอยโควิด-19

ซาร์สสายพันธุ์ใหม่ในจีน: ไทยเร่งมาตรการรับมือ หวั่นซ้ำรอยโควิด-19

ซาร์สสายพันธุ์ใหม่ในจีน: ไทยเร่งมาตรการรับมือ หวั่นซ้ำรอยโควิด-19

บทนำ: สัญญาณเตือนจากแดนมังกร

เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา หน่วยงานสาธารณสุขของสาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศพบ ไวรัสโคโรนา SARS-CoV-3 หรือที่สื่อมวลชนขนานนามว่า “ซาร์สสายพันธุ์ใหม่” ซึ่งมีโครงสร้างใกล้เคียงกับไวรัส SARS-CoV-1 (ระบาดเมื่อปี 2003) และ SARS-CoV-2 หรือไวรัสโควิด-19 ที่เคยสร้างวิกฤตทั่วโลกในช่วงปี 2020–2022

แม้จำนวนผู้ติดเชื้อยังไม่สูงนัก โดยรายงานล่าสุดจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า มีผู้ติดเชื้อสะสมในจีนเพียง 4,800 ราย และเสียชีวิต 19 ราย ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2568 แต่การกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วและอัตราการแพร่เชื้อสูงเกือบเทียบเท่า SARS-CoV-2 ทำให้หลายประเทศเริ่มมีความกังวลว่าอาจเผชิญกับการระบาดในระดับโลกอีกครั้ง

รัฐบาลไทยโดยกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานความมั่นคงสาธารณสุขแห่งชาติจึงออกมาตรการเชิงรุกทันที พร้อมเตือนประชาชนอย่าตื่นตระหนก แต่ให้เฝ้าระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

ลักษณะของไวรัส SARS-CoV-3: สิ่งที่เรารู้จนถึงตอนนี้

ศูนย์ควบคุมโรคของจีน (CCDC) เปิดเผยข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับไวรัส SARS-CoV-3 ว่า:

  • มีสายพันธุกรรม (genetic sequence) ร้อยละ 86 ที่คล้ายคลึงกับไวรัส SARS-CoV-2
  • มีระยะฟักตัวเฉลี่ย 2–4 วัน และผู้ป่วยส่วนใหญ่เริ่มมีอาการภายใน 3 วัน
  • อาการคล้ายโควิด-19 แต่เน้นที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น เจ็บคอ ไข้สูง ไอแห้ง หายใจติดขัด
  • พบว่าไวรัสสามารถคงอยู่บนพื้นผิวโลหะและพลาสติกได้ยาวนานถึง 72 ชั่วโมง หากอยู่ในอุณหภูมิต่ำ
  • ที่น่าสนใจคือ ขณะนี้ยังไม่พบหลักฐานว่าผู้ติดเชื้อมีอาการ long COVID หรืออาการแทรกซ้อนระยะยาวแบบที่พบใน SARS-CoV-2 แต่ยังต้องติดตามต่อเนื่อง

นพ.วินัย วัฒนศิริกุล นักไวรัสวิทยา ม.มหิดล อธิบายว่า

“สิ่งที่ทำให้ไวรัสชนิดนี้น่ากังวลคือการกลายพันธุ์ในโปรตีนหนาม (spike protein) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ไวรัสใช้เกาะเซลล์มนุษย์ ทำให้มันแพร่ได้เร็วกว่า SARS-CoV-1 และมีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีพอๆ กับโอมิครอน”

ไทยเริ่มต้นรับมือ: ตั้งวอร์รูม-คัดกรองสนามบินเข้มงวด

วันที่ 20 เมษายน 2568 ศูนย์บริหารสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข (ศบฉ.สธ.) จัดตั้ง ศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจรับมือ SARS-CoV-3 โดยมีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน และมีการประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกสัปดาห์

มาตรการเร่งด่วนที่ประกาศ ได้แก่:

  • คัดกรองผู้โดยสาร จากจีน ฮ่องกง และมาเก๊า ที่เดินทางเข้าประเทศ 100% ทุกเที่ยวบิน
  • ติดตั้งเครื่องเทอร์โมสแกนเพิ่มเติมที่สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ และภูเก็ต
  • แจกแบบฟอร์มสุขภาพและ QR code สำหรับระบบติดตามผู้เดินทาง
  • โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวง 20 แห่ง ถูกกำหนดให้เป็น “โรงพยาบาลเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง”

นพ.จตุพร ภูผาธรรม อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า:

“เราไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยโควิด-19 อีก การเฝ้าระวังแบบ 3 ชั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงนี้”

การระบาดระลอกแรกในประเทศไทย: กรณีเชียงราย

วันที่ 6 พฤษภาคม 2568 กรมควบคุมโรคประกาศพบ ผู้ป่วยรายแรกของไทย เป็นชายไทยวัย 32 ปีที่ทำงานในบริษัทโลจิสติกส์ข้ามแดน เดินทางกลับจากเมืองคุนหมิง โดยผ่านด่านชายแดนแม่สาย จังหวัดเชียงราย

ชายผู้นี้เริ่มมีอาการเจ็บคอ ไอแห้ง และไข้สูงเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม และเข้ารับการตรวจ RT-PCR ที่โรงพยาบาลแม่สาย ผลออกมาเป็นบวก และได้รับการส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

ภายหลังการสอบสวนโรค พบผู้สัมผัสใกล้ชิดรวม 18 ราย และมี 2 รายที่ติดเชื้อเช่นกัน ส่งผลให้ จังหวัดเชียงรายประกาศพื้นที่เสี่ยงในเขตเทศบาล พร้อมยกระดับมาตรการป้องกันในสถานศึกษาและตลาดสด

แม้การระบาดจะยังอยู่ในวงจำกัด แต่การเกิดเคสในพื้นที่ชายแดนทำให้รัฐบาลไทยเริ่มใช้ มาตรการชายแดนเข้มข้น เช่น

  • ปิดด่านย่อยชั่วคราว
  • ติดตั้งจุดตรวจคัดกรองและจุดแยกผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจ
  • เพิ่มเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำด่านศุลกากร

การสื่อสารสาธารณะ: โปร่งใส สร้างความเข้าใจ ไม่ตื่นตระหนก

บทเรียนจากโควิด-19 ทำให้รัฐบาลไทยตระหนักถึงความสำคัญของการสื่อสารในภาวะวิกฤต ศบฉ.สธ. จึงร่วมกับ กสทช. และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ออกชุดสารคดีสั้นชื่อ “รู้ทันซาร์สใหม่” ซึ่งเผยแพร่ผ่าน TikTok, Facebook และ YouTube ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม

สาระหลักเน้นที่:

  • ข้อแตกต่างระหว่าง SARS-CoV-2 กับ SARS-CoV-3
  • วิธีการป้องกันแบบง่าย เช่น ล้างมือ ใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง
  • การไม่แชร์ข้อมูลปลอม เช่น ข่าวลือเรื่องวัคซีนอันตราย หรือการแพร่เชื้อจากการรับพัสดุ

นอกจากนี้ยังมีการเปิดสายด่วน “1422” เพิ่มเจ้าหน้าที่รองรับคำถามจากประชาชนวันละไม่ต่ำกว่า 2,000 สาย

วัคซีนและการเตรียมการด้านยา

แม้ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนเฉพาะสำหรับ SARS-CoV-3 แต่กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งเจรจากับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ เช่น Pfizer, Moderna และ BioNTech เพื่อเตรียมความร่วมมือในการพัฒนาและทดลองวัคซีน “Multi-variant mRNA” ซึ่งสามารถป้องกันได้หลายสายพันธุ์

ในขณะเดียวกัน ไทยได้สำรองยาเรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) และโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) ไว้ล่วงหน้า พร้อมอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉิน

รศ.ดร.กมลวรรณ เจริญศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชวิทยา ม.จุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า:

“แม้ยาทั้งสองชนิดจะพัฒนามาเพื่อโควิด-19 แต่ผลการทดลองในสัตว์พบว่ามีฤทธิ์ต้าน SARS-CoV-3 ได้พอสมควร เราจึงใช้เป็นแนวป้องกันเบื้องต้นได้”

ความร่วมมือระดับภูมิภาค: ASEAN +3 เปิดสายด่วนด้านสุขภาพ

ในช่วงเดือนพฤษภาคม รัฐมนตรีสาธารณสุขจากกลุ่มอาเซียน ร่วมกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จัดการประชุมออนไลน์ฉุกเฉิน และตกลงเปิด “ศูนย์ประสานงานข่าวกรองด้านโรคระบาด” เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบ real-time

ในส่วนของไทย มีข้อเสนอให้จัดทำ แนวทางการเดินทางข้ามแดนแบบปลอดภัย (Safe Corridor) ซึ่งใช้ระบบ AI ในการตรวจสอบความเสี่ยงของผู้เดินทางโดยอิงข้อมูลจากใบรับรองสุขภาพและพฤติกรรมการเดินทางก่อนหน้า

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: ความหวั่นไหวในภาคท่องเที่ยวและการบิน

แม้จะยังไม่มีการล็อกดาวน์หรือจำกัดการเดินทางในประเทศ แต่กระแสข่าวเรื่องไวรัสชนิดใหม่ได้ส่งผลให้:

  • การจองเที่ยวบินในเดือนมิถุนายนลดลงร้อยละ 12 จากเดือนก่อน
  • นักลงทุนเริ่มชะลอแผนเปิดโรงแรมใหม่ในจังหวัดท่องเที่ยวรอง
  • บริษัทประกันชีวิตบางแห่งกลับมาเสนอกรมธรรม์ “ไวรัสโคโรนาเวฟ 3” อีกครั้ง

สมาคมโรงแรมไทย (THA) ออกแถลงการณ์ขอให้รัฐบาล “บริหารความเสี่ยงโดยไม่ตื่นตระหนก” และเสนอให้จัดทำ มาตรฐาน SHA Plus+ สำหรับโรคระบาดใหม่ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ตลาดต่างชาติ

บทสรุป: ป้องกันก่อนสาย ร่วมมือก่อนระบาด

แม้การพบ SARS-CoV-3 ในไทยยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แต่ความเคลื่อนไหวของไวรัสในประเทศจีนและประเทศเพื่อนบ้านคือสิ่งที่ไม่อาจละเลย รัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชนจึงต้องร่วมกันดำเนินมาตรการเชิงป้องกัน และยึดหลัก “เร็วกว่า ไวกว่า รอบคอบกว่า”

สิ่งที่ต้องจับตาในช่วง 3 เดือนข้างหน้าคือ:

  • การกลายพันธุ์ของไวรัส และประสิทธิภาพของยารักษา
  • การแพร่กระจายเชิงภูมิศาสตร์ โดยเฉพาะในเมืองท่าหรือพื้นที่ชายแดน
  • ความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคเพื่อควบคุมการแพร่เชื้อ

หากประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในระยะเริ่มต้น เราอาจเป็นหนึ่งในประเทศตัวอย่างด้านการจัดการโรคระบาดยุคใหม่ที่ผสมผสานความรู้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และความร่วมมืออย่างมีประสิทธิภาพ

หมวดหมู่ยอดนิยม