ประวัติเกาะอัลคาทราซ

ที่นี่คือเกาะที่มีประภาคารแห่งแรกบนชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ สร้างขึ้นกลางศตวรรษที่ 19 เพื่อเป็นสัญญาณนำทางเรือที่แล่นในมหาสมุทรแปซิฟิก มันเคยเป็นป้อมปราการทางทหารที่ติดตั้งปืนใหญ่หลายร้อยกระบอก พร้อมรับมือการโจมตีทางทะเลใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับรัฐแคลิฟอร์เนีย

เกาะแห่งนี้ยังเคยเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติของนกกระทุง ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "อัลคาทราซ" (Alcatraz) ที่หมายถึงนกชนิดนี้ในภาษาสเปน

แต่อัลคาทราซกลายเป็นที่รู้จักอย่างแท้จริงในช่วงที่ถูกใช้เป็นเรือนจำของรัฐบาลกลางที่มีการตรวจตราอย่างเข้มงวด และกลายเป็นเรือนจำสำหรับนักโทษที่แม้แต่เรือนจำอื่นก็ไม่อาจควบคุมได้

ระหว่างปี 1934-1963 เรือนจำแห่งนี้ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "เดอะ ร็อค" คือสถานที่คุมขังอาชญากรที่ทางการมองว่าอันตรายเกินไปสำหรับเรือนจำบนแผ่นดินใหญ่

การหลบหนีอันโด่งดังที่สุดเกิดขึ้นในปี 1962 ซึ่งมีนักโทษ 3 คนที่เกี่ยวข้องกับแผนการนั้น และไม่มีใครพบพวกเขาอีกเลย

ทรัมป์เตรียมเปิดใช้งานคุกอัลคาทราซอีกครั้ง

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศผ่าน Truth Social ว่าเขาได้สั่งการให้หน่วยงานรัฐบาลกลางหลายแห่ง รวมถึงสำนักงานเรือนจำกลาง (BOP) กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ดำเนินการฟื้นฟูและเปิดใช้งานเรือนจำ อัลคาทราซ อีกครั้ง เพื่อใช้ควบคุมตัวผู้กระทำความผิดที่อันตรายที่สุดในประเทศ

ทรัมป์ระบุว่า อัลคาทราซจะกลายเป็น "สัญลักษณ์ของกฎหมาย ความสงบเรียบร้อย และความยุติธรรม" ซึ่งสะท้อนแนวทางที่เข้มงวดด้านความมั่นคงภายในประเทศของเขา

อัลคาทราซ ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะในอ่าวซานฟรานซิสโก ถูกปิดในปี 1963 เนื่องจากต้นทุนการดำเนินงานสูงและโครงสร้างที่เสื่อมโทรม ปัจจุบันถูกใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและดูแลโดยกรมอุทยานแห่งชาติ

อย่างไรก็ตาม แผนของทรัมป์ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนักการเมืองแคลิฟอร์เนีย นักสิทธิมนุษยชน และผู้เชี่ยวชาญที่มองว่าเป็นการเบี่ยงเบนประเด็นจากปัญหาเศรษฐกิจและเป็นไปได้ยากทางเทคนิค ทั้งในด้านงบประมาณ โครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภคที่ล้าสมัย

แม้จะมีเสียงคัดค้าน ผู้อำนวยการ BOP คนใหม่ วิลเลียม เค. มาร์แชลล์ ที่ 3 ยืนยันว่าแผนจะถูกนำไปประเมินอย่างจริงจัง พร้อมทั้งเตรียมวางแนวทางการฟื้นฟูให้สอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดี

ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และเรือนจำเตือนว่า การเปิดใช้อัลคาทราซอีกครั้งจะต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะต้นทุนการปรับปรุงและการรักษาความปลอดภัยบนเกาะที่เข้าถึงยาก

แผนการนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการวางแผน และความเป็นไปได้ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงอย่างกว้างขวางในสหรัฐฯ