Steam โปรแกรมการเล่นเกมออนไลน์ที่เปลี่ยนแปลงวงการเกม
Steam เป็นแพลตฟอร์มการจำหน่ายเกมออนไลน์ที่พัฒนาโดย Valve Corporation ตั้งแต่ปี 2...
บทนำ: ก้าวใหม่ของไทยในโลกพลังงานสะอาด
ในขณะที่ทั่วโลกเร่งลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและหันไปสู่พลังงานหมุนเวียน ประเทศไทยก็ไม่ได้นิ่งเฉย และล่าสุด ในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2568 ประเทศไทยสามารถติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้รวมกว่า 8,500 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่าเป้าหมายประจำปีที่ตั้งไว้ถึงร้อยละ 30
ที่น่าสนใจคือ กว่า 70% ของกำลังการผลิตใหม่นี้มาจากโครงการระดับชุมชน ซึ่งดำเนินการโดยวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร และกลุ่มประชาชนในท้องถิ่น ภายใต้โครงการ “พลังงานเพื่อทุกชีวิต” ของกระทรวงพลังงาน ร่วมกับสำนักงานพลังงานแห่งชาติ (สนพ.)
ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าให้ประเทศเท่านั้น แต่โรงไฟฟ้าเหล่านี้ยังสร้างรายได้หมุนเวียน กระจายอำนาจการผลิตสู่ชุมชน ลดต้นทุนพลังงาน และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ให้กับระบบเศรษฐกิจฐานรากของไทย
โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ระดับชุมชน เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2563 จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ที่กำหนดให้พลังงานหมุนเวียนเป็นวาระแห่งชาติ และเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน
ภายใต้นโยบายนี้ กระทรวงพลังงานเปิดโครงการ “พลังงานเพื่อทุกชีวิต” ซึ่งให้:
ภายใน 2 ปีแรก โครงการได้รับการตอบรับอย่างดีจากกลุ่มชาวนา กลุ่มแม่บ้าน วิสาหกิจท้องถิ่น และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNDP และ ADB ที่ให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์
หมู่บ้านสันกลาง ตำบลแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง เป็นหนึ่งในชุมชนต้นแบบของโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ระดับชุมชน โดยในปี 2566 กลุ่มเกษตรกรรวมตัวกันจัดตั้ง “สหกรณ์พลังงานสะอาดบ้านสันกลาง” และได้รับงบสนับสนุนจากรัฐบาลจำนวน 2.7 ล้านบาท เพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าขนาด 480 กิโลวัตต์
นอกจากไฟฟ้าสำหรับใช้ในชุมชนแล้ว ส่วนเกินยังถูกขายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สร้างรายได้เฉลี่ยเดือนละ 120,000 บาท
นายวิฑูรย์ วงค์ษา ประธานสหกรณ์กล่าวว่า
“เราเคยกลัวว่าเทคโนโลยีจะซับซ้อน แต่พอได้อบรมและลองทำจริง มันไม่ยากอย่างที่คิด ตอนนี้เรามีเงินเข้ากองกลางทุกเดือน ใช้เป็นทุนการศึกษา ซ่อมถนน และซื้ออุปกรณ์เกษตรให้สมาชิกด้วย”
สิ่งที่ทำให้โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนแตกต่างจากโครงการใหญ่ระดับชาติคือ ผลกระทบที่เข้าถึงคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่มักถูกมองข้ามในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรระบุว่า รายได้เฉลี่ยของสมาชิกกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระดับชุมชนในปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เทียบกับปี 2566 ส่วนใหญ่เป็นรายได้เสริมจากการขายไฟฟ้า การดูแลระบบ และการให้บริการฝึกอบรม
นอกจากนี้ ยังเกิด อาชีพใหม่ เช่น:
กระทรวงแรงงานระบุว่า ตั้งแต่ปี 2565–2568 มีแรงงานเข้าสู่ระบบพลังงานสะอาดใหม่กว่า 48,000 ราย โดยร้อยละ 60 เป็นแรงงานในชุมชนเดิมที่ได้ Upskill หรือ Reskill จากเกษตรกรและแรงงานทั่วไป
แม้โครงการจะได้รับเสียงชื่นชม แต่ก็มี อุปสรรคที่สำคัญ หลายประการ เช่น:
นางศิริพร บุญสวัสดิ์ นักวิจัยด้านพลังงานจาก TDRI ชี้ว่า
“การขับเคลื่อนพลังงานชุมชนจำเป็นต้อง ปรับโครงสร้างกฎหมายด้านพลังงานและสาธารณูปโภค ให้เอื้อต่อความยืดหยุ่น และควรมี Sandbox สำหรับทดสอบระบบในแต่ละพื้นที่ด้วย”
ในปี 2568 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้แผงโซลาร์เซลล์มีราคาถูกลงและประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิมถึง 40% เมื่อเทียบกับรุ่นที่ใช้ในปี 2563
บริษัท Start-Up ไทยอย่าง “SolarEdge Siam” ได้พัฒนาแผงรุ่นใหม่ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้แม้ในสภาพอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน พร้อมทั้งฝังระบบ IoT ในตัวเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับแอปมือถือ และตรวจสอบสถานะการทำงานได้แบบเรียลไทม์
นอกจากนี้ ยังมีการทดลองติดตั้ง สมาร์ตกริดระดับชุมชน ที่บ้านนาโพธิ์ จ.นครราชสีมา ซึ่งช่วยให้มีระบบสำรองไฟอัตโนมัติ กำหนดเวลาจ่ายไฟ และจัดสรรพลังงานให้เหมาะสมตามช่วงเวลา
ดร.ทัศนีย์ ศรีสุวรรณ อาจารย์วิศวกรรมไฟฟ้า ม.เทคโนโลยีสุรนารี กล่าวเสริมว่า
“นวัตกรรมไม่ได้จำกัดอยู่ในเมืองอีกต่อไป ตอนนี้หมู่บ้านห่างไกลก็สามารถบริหารจัดการพลังงานได้เทียบเท่าเขตเมืองใหญ่”
รัฐบาลได้ประกาศเป้าหมายว่า ภายในปี พ.ศ. 2570 จะผลักดันให้มี นิคมอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดระดับอำเภอ โดยเชื่อมโยงกับพลังงานที่ผลิตจากชุมชนโดยตรง เช่น การผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตร โกดังเย็น โรงอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ และระบบประปาหมู่บ้าน
สิ่งนี้จะช่วย:
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาการเชื่อมโยงโรงไฟฟ้าชุมชนเข้ากับ EV Station วิ่งทั่วตำบล เพื่อรองรับยานยนต์ไฟฟ้าและจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่เริ่มแพร่หลาย
การเติบโตอย่างรวดเร็วของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระดับชุมชนในปี 2568 เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า พลังงานสะอาดไม่ใช่เรื่องของคนเมืองหรือโครงการขนาดใหญ่เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของทุกคน โดยเฉพาะ “คนตัวเล็ก” ในชนบท ที่สามารถเป็นเจ้าของแหล่งพลังงานของตนเอง
ในโลกที่พลังงานสะอาดเป็นทั้งทางรอดและโอกาส การมีระบบพลังงานที่กระจายอำนาจ ยืดหยุ่น และตอบโจทย์พื้นที่ คือคำตอบของประเทศไทยยุคใหม่
ดังคำกล่าวของนายอิทธิพล พรหมศรี ผู้ใหญ่บ้านในจังหวัดอุดรธานีที่เข้าร่วมโครงการว่า
“วันนี้เราไม่ได้แค่ผลิตไฟ เราผลิตความหวัง ผลิตอนาคต และผลิตศักดิ์ศรีของชุมชนด้วยแสงแดดที่ตกถึงหลังคาเราเอง”
Steam เป็นแพลตฟอร์มการจำหน่ายเกมออนไลน์ที่พัฒนาโดย Valve Corporation ตั้งแต่ปี 2...
🎰 เปลี่ยนเวลาว่าง...ให้กลายเป็นโอกาสทอง! มาสัมผัสประสบการณ์ความมันส์กับ BK8 เก...
การระบาดของ "โรคผีดิบ" คุกคามทุกชีวิตในแผ่นดินและทำให้ราชอาณาจักรของโชซอนตกอยู่ใ...