อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยฟื้นคืนชีพ: โอกาสใหม่หลังวิกฤต กับบทบาทของชุมชนที่เปลี่ยนไป

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยฟื้นคืนชีพ: โอกาสใหม่หลังวิกฤต กับบทบาทของชุมชนที่เปลี่ยนไป

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยฟื้นคืนชีพ: โอกาสใหม่หลังวิกฤต กับบทบาทของชุมชนที่เปลี่ยนไป

บทนำ: การฟื้นตัวหลังวิกฤตที่ยืดเยื้อ

หลังจากเผชิญกับวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2563 การท่องเที่ยวในปี 2568 เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงต้นปีนี้ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเผยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในไตรมาสแรกของปี 2568 พุ่งเกิน 9 ล้านคน เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีนักท่องเที่ยวจากจีน เกาหลีใต้ รัสเซีย อินเดีย และตะวันออกกลางเป็นกลุ่มหลัก นี่ถือเป็นสัญญาณบวกที่ไม่เพียงแค่กระตุ้นเศรษฐกิจระดับมหภาค แต่ยังสร้างความหวังใหม่ให้กับคนในชุมชนท่องเที่ยวทั่วประเทศ

สถิติและภาพรวมของการฟื้นตัว

จากรายงานประจำปีของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า:

  • รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2568 สูงถึง 420,000 ล้านบาท
  • การจองโรงแรมในจังหวัดท่องเที่ยวหลักอย่างภูเก็ต เชียงใหม่ กรุงเทพฯ และกระบี่ มีอัตราเฉลี่ยสูงถึง 78%
  • เกิดธุรกิจท่องเที่ยวใหม่กว่า 6,000 ราย ทั่วประเทศ โดยเกือบร้อยละ 60 เป็นธุรกิจของคนในท้องถิ่น

สิ่งที่น่าสนใจคือ แนวโน้มของนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่กำลังเปลี่ยนไป พวกเขาไม่ได้ต้องการเพียงชายหาดหรือห้างหรูอีกต่อไป แต่เริ่มมองหา "ประสบการณ์ที่แท้จริง" กับวิถีชีวิตของชุมชน เช่น การเรียนทำอาหารไทยในบ้านคนท้องถิ่น การเยี่ยมชมแหล่งผลิตผ้าทอพื้นเมือง หรือการพักโฮมสเตย์ในพื้นที่ห่างไกล

ชุมชนกับบทบาทใหม่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

หากย้อนกลับไปก่อนวิกฤตโควิด-19 ชุมชนท้องถิ่นจำนวนมากในไทยมักอยู่ในบทบาท “เบื้องหลัง” ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่น เป็นแรงงานรับจ้างในโรงแรม หรือคนขับรถบริการนักท่องเที่ยว แต่วันนี้ บทบาทนั้นกำลังเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

หลายชุมชนได้กลายเป็น “เจ้าของกิจการ” และ “ผู้สร้างประสบการณ์” ที่สำคัญ เช่น:

  • ชุมชนบ้านนาต้นจั่น จังหวัดสุโขทัย กลายเป็นโมเดลการท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ที่ยั่งยืน โดยมีรายได้เฉลี่ยครัวเรือนละ 15,000–20,000 บาทต่อเดือนจากนักท่องเที่ยว
  • ชุมชนเกาะกลาง จังหวัดกระบี่ พัฒนากิจกรรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เช่น การพายเรือคายัคในป่าโกงกาง และการทำผ้าบาติกจากเปลือกไม้
  • ชุมชนชนเผ่าอาข่า จังหวัดเชียงราย สร้างรายได้จากการนำเสนอวัฒนธรรมและงานฝีมือแก่กลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ (ethno-tourism)

นางสาวดาริน วรรณชัย แกนนำชุมชนบ้านห้วยห้อม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้สัมภาษณ์ว่า:

“เมื่อก่อนเรารอให้นักท่องเที่ยวผ่านมาทางนี้ แต่ตอนนี้เราเป็นฝ่ายเชิญชวนพวกเขามาสัมผัสชีวิตจริงของพวกเรา”

เทรนด์ใหม่: ท่องเที่ยวยั่งยืน และการท่องเที่ยวที่มีจริยธรรม

นักท่องเที่ยวยุคใหม่โดยเฉพาะคนรุ่นมิลเลนเนียลและเจน Z มักเลือกเดินทางอย่างมีจุดหมาย พวกเขาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน และการส่งเสริมชุมชน มากกว่าความหรูหรา

งานวิจัยของ UNWTO (องค์การการท่องเที่ยวโลก) พบว่า:

  • ร้อยละ 64 ของนักท่องเที่ยวอายุไม่เกิน 35 ปี ยินดีจ่ายแพงขึ้นเพื่อท่องเที่ยวแบบยั่งยืน
  • มากกว่า 50% ของนักเดินทางชาวยุโรประบุว่า “การท่องเที่ยวแบบมีจริยธรรม” คือปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจจองทริป

ภาคธุรกิจไทยเองก็เริ่มปรับตัว เช่น:

  • โรงแรมหลายแห่งในภูเก็ต เลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว
  • บริษัทนำเที่ยวขนาดเล็กหันมาเสนอแพ็กเกจ “เดินเท้า-ปั่นจักรยาน” เพื่อสำรวจเมืองและลดการใช้พาหนะ
  • แอปพลิเคชันท่องเที่ยวแบบ P2P (เช่น Local Alike, HiveSters) ช่วยเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวเข้ากับชุมชนโดยตรง

ความท้าทาย: การเติบโตที่ไม่เท่ากัน

แม้การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวจะสร้างรายได้จำนวนมาก แต่การกระจายรายได้นั้นยังไม่เท่าเทียม จังหวัดท่องเที่ยวหลัก เช่น ภูเก็ต กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์สูงสุด ในขณะที่จังหวัดอื่นๆ ที่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานหรือการตลาดที่ดี ยังคงต้องพึ่งการสนับสนุนจากภาครัฐ

ดร.ประวิทย์ ลีลาวัณย์ นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ให้ความเห็นว่า:

“ปัญหาคือการขาดแผนการพัฒนาระยะยาวที่เน้นพื้นที่รอง เช่น พะเยา มุกดาหาร หรือสตูล ที่มีศักยภาพแต่ยังไม่มีโครงข่ายหรือทุนสนับสนุน”

อีกทั้งยังมีความกังวลเรื่อง:

  • การกลับมาของการท่องเที่ยวแบบ mass tourism ที่เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ
  • การรุกล้ำของทุนขนาดใหญ่ที่อาจแย่งชิงทรัพยากรของชุมชน
  • ปัญหาขยะและมลพิษที่มาพร้อมกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

บทเรียนจากโควิด-19: ท่องเที่ยวต้องแกร่งและยืดหยุ่น

วิกฤตโควิด-19 ทำให้ทุกภาคส่วนตระหนักว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่สามารถพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติแต่เพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป แนวคิด “Domestic First” หรือการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ:

  • คนไทยเดินทางภายในประเทศสูงถึง 140 ล้านคน-ครั้ง ในปี 2567 สร้างรายได้กว่า 780,000 ล้านบาท
  • จังหวัดอย่างลำพูน ระนอง และตราด เริ่มถูกพูดถึงในฐานะจุดหมายท่องเที่ยวของชาวไทยที่แสวงหาความสงบและคุณภาพ
  • การใช้ “วันลาเพื่อท่องเที่ยว” หรือ workation ได้รับความนิยมในกลุ่มพนักงานออฟฟิศในกรุงเทพฯ

บทบาทของเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวยุคใหม่

เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการช่วยให้การท่องเที่ยวไทยปรับตัว เช่น:

  • AI และ Big Data ช่วยในการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยว เพื่อออกแบบประสบการณ์ที่เหมาะสม
  • AR/VR ถูกนำมาใช้ในพิพิธภัณฑ์เพื่อสร้างประสบการณ์เสมือนจริง เช่น พิพิธภัณฑ์พระนคร หรือเมืองเก่าสงขลา
  • แอปฯ เชิงชุมชน เช่น “เที่ยวท้องถิ่น” ของ ททท. ช่วยให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงข้อมูลชุมชนได้โดยตรง

นอกจากนี้ยังมีการสร้างระบบสะสมคะแนนเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวซ้ำ (Loyalty Program) ที่เชื่อมโยงกับร้านค้าและชุมชน เช่น โครงการ “เที่ยวได้ให้แต้ม” ที่ทดลองใช้ในจังหวัดเลย

แนวทางขับเคลื่อนต่อไป

รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายให้ไทยเป็น “ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ” ภายในปี 2570 โดยเน้น:

  • การเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพจากร้อยละ 30 เป็น 60
  • การผลักดันให้ทุกจังหวัดมี “แผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงชุมชน” อย่างน้อย 3 แห่ง
  • การส่งเสริม Soft Power ผ่านวัฒนธรรมไทย เช่น อาหาร ศิลปะ ดนตรี และกีฬา

นายนิธิพล ศิริกุล ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ กล่าวว่า:

“เราจะไม่วัดความสำเร็จจากจำนวนคนอีกต่อไป แต่จะวัดจากผลกระทบที่สร้างต่อคนในพื้นที่ ต่อสิ่งแวดล้อม และต่อคุณภาพชีวิตโดยรวมของประเทศ”

บทสรุป

การท่องเที่ยวของไทยในปี 2568 ไม่ใช่เพียงการกลับมาของนักท่องเที่ยว แต่คือการกลับมาของโอกาสในการสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและมีส่วนร่วม ชุมชนไทยไม่ใช่เพียงแค่ฉากหลังของโปสการ์ดอีกต่อไป แต่คือ “หัวใจ” ของประสบการณ์ที่แท้จริง

สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้ คือการรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ การอนุรักษ์ทรัพยากร และการรักษาอัตลักษณ์ของท้องถิ่น เพื่อให้การฟื้นคืนชีพของการท่องเที่ยวไทยในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงกระแสชั่วคราว แต่เป็นรากฐานของความยั่งยืนในระยะยาว

หมวดหมู่ยอดนิยม